ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทวนกระแส

๒๗ ก.ย. ๒๕๕๒

 

ทวนกระแส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไอ้ของเรานี่มันแบบว่า เรามันติดดินนะ อะไรก็ได้นี่ มันก็เลยมั่วนิดหน่อย ถ้าไปจัดเป็นระเบียบเลยมันก็ระเบียบอีกล่ะ เข้าไม่ติดอีกล่ะ

พูดถึงผู้ปฏิบัติใหม่นะ ถ้าเราปฏิบัติใหม่นี่ ธรรมดาของคนนี่ในตำราก็บอกว่า คนเรามีกายกับใจกายกับใจ นี้ใจนี่เป็นนามธรรม ร่างกายนี่เป็นวัตถุที่เราจับต้องได้ ธาตุ ๔ นี่ใครจับต้องได้หมดล่ะ นี้เราบอกว่าจิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้เป็นนามธรรมสำหรับคนที่ปฏิบัติไม่เป็นนะ แต่คนที่ปฏิบัติเป็น พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตนี้เป็นวัตถุอันหนึ่ง

เพราะเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์สอนหลานของพระสารีบุตรที่เขาคิชฌกูฏ เพราะเขาคิชฌกูฏในถ้ำสุกรขาตา หลานพระสารีบุตรนี่ไม่พอใจพระพุทธเจ้ามาก ว่าพระพุทธเจ้านี่เอาตระกูลของพระสารีบุตรนี่บวชหมดเลย บวชหมดเลย ตระกูลของพระสารีบุตรนะ มีพระสารีบุตร มีพระเรวัตตะ มีพระจุนทะ มีพระอรหันต์หมดเลย หลายองค์มาก แล้วบวชทั้งครอบครัวไง

แล้วสุดท้ายนี่ในประเพณีนะ ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าบอกว่า เด็กนี่ลูกหลาน ถ้าใครจะบวช พ่อแม่ไม่อนุญาตนี่บวชไม่ได้ บวชไม่ได้ใช่ไหม เพราะว่าพระพุทธเจ้าไปเอาเณรราหุลมาบวช พระเจ้าสุทโธทนะเสียใจมาก เสียใจเพราะเสียพระพุทธเจ้าไปแล้ว ก็คิดว่าสามเณรราหุลนี่จะเอาไว้เป็นกษัตริย์สืบทอดตระกูล พระพุทธเจ้าก็เอาเณรราหุลไปบวชอีก พระเจ้าสุทโธทนะเลยขอพรไว้บอกว่า ถ้าต่อไปนี้ใครจะบวชต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน

ทีนี้พอมาถึงตระกูลพระสารีบุตร พระสารีบุตรนี่ตระกูลบวชหมดเลย พระจุนทะเป็นน้องชาย พระเรวัตตะก็น้องชาย น้องชายทั้งนั้นเลยบวช นี้น้องชาย หลานก็ไม่พอใจก็จะมาต่อว่าพระพุทธเจ้าไงว่าเอาบวชหมดเลย บอกว่าไม่พอใจนั่น ไม่พอใจอะไร ไม่พอใจหมดเลย อ้างไปเรื่อยไง แต่ความจริงคือจะบอกว่าไม่พอใจพระพุทธเจ้านั่นแหละ แต่ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า เขาไม่กล้าพูด ก็อ้างว่าไม่พอใจไอ้นั่น ไม่พอใจไอ้นั่น

ทีนี้พระพุทธเจ้าฉลาดกว่าเยอะมาก พระพุทธเจ้าบอก

“ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ นะ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอน่ะ ก็คือวัตถุอันหนึ่ง”

เปรียบเหมือนวัตถุอันหนึ่งเลย ความคิดเรา อารมณ์ความรู้สึก นามธรรม เปรียบเหมือนวัตถุอันหนึ่ง เปรียบเหมือนก้อนหิน เปรียบเหมือนสสารแร่ธาตุที่จับต้องได้เลย พระพุทธเจ้าฉลาด พระพุทธเจ้าภาวนาเป็น

ภาวนาเป็นบอกว่าความคิด นามธรรม ที่เราว่าเป็นนามธรรม ในตำราเขียนบอกนามธรรมนะจับต้องไม่ได้ นามธรรมนี่จับต้องไม่ได้อะไรนี่ อันนี้มันเป็นทฤษฏีนะ แต่ถ้าเป็นความจริง คนภาวนาเป็นนะ ไอ้นามธรรมนี่จับต้องได้ จับต้องแล้วเอามาขึงพรืดเลย เอามาวิจัย เอามาวิปัสสนา เอามาแยกแยะว่าความคิดมันเป็นอย่างไร ความคิดมาจากไหน ความทุกข์มาจากไหนต่างๆ จับต้องได้

ทีนี้พอพระสารีบุตรก็บอกปฏิญาณกับพระไว้ เพราะพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา บอกว่าถ้าตระกูลถ้าน้องชายของพระสารีบุตรจะบวชนี่นะให้บวชได้เลย ไม่ต้องให้พ่อแม่อนุญาตหรอก เพราะพ่อแม่ของผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะแม่ของพระสารีบุตร พ่อของพระสารีบุตรนี่เป็นพราหมณ์ถือพราหมณ์ มันคนละศาสนาไง ก็เลยบอกว่าถ้าน้องชายถ้าญาติตระกูลจะบวชนี่ ถ้ามาขอบวชให้พระบวชให้ได้เลย พระเรวัตตะก็มาบวชไง ตอนที่พระเรวัตตะนั้นแม่ก็เสียใจ

โอ้โฮ..ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนานั้นมันยาวไกล แล้วมันมีแตกแขนงไปเยอะแยะไปหมดเลย นี่ไงแม่พระสารีบุตรก็ต้องการให้พระเรวัตตะมีครอบครัว พราหมณ์ไง เห็นไหม อายุยังน้อยก็จับแต่งงานกันแล้วพราหมณ์นี่ ก็จะจับแต่งงานกัน พระเรวัตตะก็ฉลาด บอกว่าขอพักก่อนจะเข้าไปปัสสาวะ ขอพักก่อน รู้ว่าพระธุดงค์อยู่ที่นั่นไง ขอพักก่อน ขอพักปัสสาวะ พอขอพักก่อนขอไปปัสสาวะก็ไปบวชเลย บวชเป็นพระเลย นี่คนมีบุญ

คนมีบุญนะ แต่มันก็มีอุปสรรค กว่าจะได้บวชได้เพศมาได้เป็นพระมานี่ คนมีบุญบางที มีบุญนะ ถ้ามีบุญในพุทธศาสนานะ คนที่สร้างบุญมาก เวลาบวชนี่มันจะมีบุญอยู่หนหนึ่ง คือบริขารทิพย์มันจะลอยมาเอง บริขารนี่เป็นทิพย์มันจะลอยมาเอง แต่หนเดียวนะ

แต่พาหิยะเป็นพ่อค้าเรือแตก แล้วเข้าฝั่งมานี่ พอเข้าฝั่งมาก็นุ่งใบไม้ ชาวบ้านเห็นพอขึ้นจากฝั่งมานุ่งใบไม้นึกว่าเป็นพระอรหันต์ไง ก็ลืมตัวอยู่พักหนึ่ง จนเพื่อน เมื่อก่อนเพื่อนนี่เป็นนักบวชด้วยกัน เป็นพระด้วยกัน ไปปฏิบัติอยู่บนเขาหน้าตัด แล้วใช้บันไดขึ้นไป แล้วสัญญากันว่าถีบบันไดทิ้งเลย ถ้าใครภาวนาเป็นพระอรหันต์ให้เหาะลงมา ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ให้ตายไปเลย

เป็นพระอรหันต์ไปสององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอนาคา พาหิยะนี่ตาย ตายบนเขานั้นล่ะ คือเขาปฏิบัติเขาทุ่มเทมามาก พอมาเกิดในชาตินี้ เขาก็หลงตัวเอง เพราะมีบารมี หลงตัวเองว่าตัวเองนี่เป็นพระอรหันต์ เพราะคน ญาติโยมมาศรัทธาเยอะมาก โอ้โฮ..ลาภสักการะเยอะมาก ห่วงกลัวไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ห่วงคนจะไม่ศรัทธาไง

ทีนี้พระอนาคากับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้ว นี่ญาติที่ตายไปแล้ว เพื่อนที่ตายไปแล้วมาเตือนเลย มาเตือนหมายถึงว่านั่งภาวนา พวกเราไม่เข้าใจนะ เวลานั่งภาวนาจะมีเทวดามาอะไรนี่ พวกเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง เป็นไปไม่ได้สิ เพราะอะไร เพราะเครื่องรับวิทยุเรามันไม่มี ถ่านมันหมด วิทยุเสียมันเปิดเครื่องไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนวิทยุดีถ่านดีทุกอย่างดีนะ มันจะมารับคลื่นได้ คนที่จิตใจสูงส่ง คนที่จิตใจมีบุญอำนาจวาสนาบารมี เขาเห็นของเขา เขารู้ของเขาได้ มันเป็นธรรมชาติเลย

มันเป็นธรรมชาติเห็นไหม เราบอกว่าเราคัดค้านธรรมชาติมาก ว่าธรรมะเหนือธรรมชาติ ธรรมะเหนือธรรมชาติ ใช่ ! ธรรมะเหนือธรรมชาติ แต่ธรรมชาติคือธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของสัตว์ ธรรมชาติของนก ธรรมชาติของเสือ เสือมันกินเนื้อเป็นอาหาร เห็นไหม เราบอกนี่ธรรมดาพระพุทธเจ้าบอกว่าถือศีล ๕ ศีล ๕ แล้วเราบอก แล้วเสือมันดำรงชีวิตอย่างไรล่ะ

เขาไม่ได้คิดมุมกลับนะ ว่าทำไมมันเกิดเป็นเสือล่ะ ก่อนที่มึงจะเป็นคนนี่มึงมีคุณสมบัติอย่างไรมึงถึงมาเกิดเป็นคนได้ มึงมีคุณสมบัติอย่างไรถึงเกิดเป็นสัตว์ มึงมีคุณสมบัติอย่างไรถึงเกิดเป็นเทวดา แล้วมึงมีคุณสมบัติอย่างไร มึงมีกรรมอะไรมึงถึงมาเกิดเป็นเสือไง แล้วจะมาอ้างว่า โอ๋ย..ถ้าถือศีล ๕ ศีล ๕ เสือมันก็อยู่ไม่ได้สิ เสือธรรมชาติของมัน มันก็กินเนื้อเป็นอาหาร มันก็ทำของมัน ถ้ามันมีคุณธรรมของมันนะ มันอดของมัน มันตายของมัน มันก็ได้บุญของมัน มันอยู่ที่เสือไง เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอถึงว่าสิ่งที่มาเตือน พอเทวดามาเตือน มาเตือนก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ก็ให้พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังไง พระพุทธเจ้าก็เทศน์นี้แหละ เธอจงมองโลกนี้ว่าไม่ใช่ มองโลกนี้ว่ามันเป็นสักแต่ว่า มองโลกนี้ว่าสักแต่ว่า แล้วกลับมาถอนนี่แหละเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

พอเป็นพระอรหันต์ก็มาขอบวช พอขอบวชขึ้นมาเห็นไหม ถ้าเป็นพระที่มีบุญญาธิการ บางทีขอบวชนะ พอบวชนี่มันจะมีบริขารทิพย์ มันเป็นเฉพาะนะ มันมีไม่กี่องค์หรอก มันเป็นเฉพาะว่าเขาสร้างบุญมาก

ดูสิอย่างเช่นเรานี่ เรานี่บางทีเราอยากบวชนะ โอ้ย..ทุกข์ๆ ยากๆ ไม่มีใครบวชให้เลย บางคนมาบวชนะ โอ้โฮ..เจ้าภาพเป็นสิบเลย มันก็เหมือนทิพย์ไงใครก็อยากจะบวชให้ นี่เห็นไหมคนไม่เหมือนกัน วาสนาของคนไม่เหมือนกัน บางคนจะบวชนะ อู้ฮู..มีเจ้าภาพ มีคนมา อู้ฮู..ช่วยเหลือเต็มที่เลย บางคนกว่าจะบวชได้นะ

อันนี้เรามาเปรียบเทียบถึงว่าเวลามันเป็นทิพย์ไง เป็นทิพย์มา พาหิยะนี่ไม่มี พอไม่มีแล้วขอบวช พอขอบวชพระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเธอไม่มีบริขารน่ะ จะบวชต้องมีบริขาร ๘ ก็ไปหาบริขารอยู่ ควายมานี่ขวิดตายเลยล่ะ พระอรหันต์นะ โดนควายนี่ขวิดตายเลย พอควายขวิดตาย พระพุทธเจ้าไปเผาเองเลยนะ เพราะเขาเป็นพระอรหันต์ แต่เขายังไม่ทันได้บวช

นี่พูดถึงเวรกรรมของคนเห็นไหม นี่เวรกรรมของคน นี่พูดถึงจิตที่เป็นนามธรรม พอบอกว่าจิตที่เป็นนามธรรม จิตที่เป็นนามธรรม คือสิ่งที่มันจับต้องไม่ได้ จับต้องไม่ได้สำหรับพวกเรา แต่จับต้องได้สำหรับคนที่เป็น คนที่เป็นคนที่ได้รู้ได้เห็นมัน ถ้าจับต้องไม่ได้นะ อะไรเป็นคนเกิด เวลาพระพุทธเจ้าพูดถึง พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เกิดอะไรมาเกิด ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ นี่มาเกิดในไข่ พอเกิดในไข่มันถึงเป็นเรา

เราพูดท้าทายกับพวกโยมบ่อยมาก ว่าเรานี่มาจากไหน ทุกคนจะบอกเลย ก็มาจากท้องแม่ไง ทุกคนต้องบอกว่า ที่เกิดก็ออกมาจากท้องแม่ไง แต่ปฏิสนธิวิญญาณในไข่นี่ อย่างที่เขาทำกิฟต์กันเห็นไหม เขาทำโคลนนิ่งกันต่างๆ นี่เขาทำอย่างไร นั่นเขาทำมันต้องมีเวรมีกรรมนะ ถ้ามีเวรมีกรรม เขาทำนี่เห็นไหม กิฟต์นี่นะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มันจะสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้ามันเป็นวิทยาศาสตร์ มันทำมันต้องสำเร็จหมดสิ ทำไมมันไม่สำเร็จ มันมีบุญมีกรรมทั้งนั้นล่ะ บุญกรรมของคนนี่มันเวียนไป

ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันปฏิสนธิในไข่ ปฏิสนธิจิตเห็นไหม เรานี่เฉพาะตัวเรานี่เป็นโทน จิตวิญญาณของเรา ตามเวรตามกรรมนี่มันมาเกิด แต่ ! แต่เพราะมีบุญ มีเวร มีกรรม สายบุญ สายเวร สายกรรมเกาะเกี่ยวกัน ถึงมาเกิดเป็นพ่อเป็นลูกเป็นแม่ เป็นญาติกัน เขาเรียกตามสายบุญสายกรรม สายบุญสายกรรมเพราะเราเคยทำ นี่เห็นไหมนี่เรามาทำบุญด้วยกัน เราเป็นหมู่คณะกัน เราทำสิ่งดีๆ ด้วยกัน เห็นไหม เวลาทำบุญถึงบอกว่า เออ ถ้าเพื่อนดีๆ นี่ขอเกิดร่วมด้วย ถ้าไม่ดีอย่าพบกันเลยนะ ไม่อยากเจอ ไม่อยากเจอเลย

อันนี้เอ็งปฏิเสธเฉยๆ หรอก ปฏิเสธที่ปัจจุบันนี้ไง แต่มันมีมาแต่เก่า เราถึงบอกว่าเราไปแก้ประวัติศาสตร์กันไม่ได้ สิ่งที่เป็นภพเป็นชาติ อดีตชาติเก่าๆ มันมา กรรมเก่ากรรมใหม่ไง กรรมเก่าๆ ที่เราทำมามันเป็นประวัติศาสตร์ มันเป็นสิ่งอดีต ที่ไม่มีใครไปแก้ไขมันได้ ถ้ามันแก้ไขไม่ได้ เกิดในปัจจุบัน นี่มันซัดมา เราเกิดมานี่เป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือ วัฏฏะเห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ เห็นไหม มันก็เหมือนกับธรรมชาติ เหมือนกับกระแสน้ำ เหมือนกับสิ่งพายุที่มันหมุนพัดไป เราเป็นแค่ผงฝุ่นธุลีในพายุเขตนั้น เราจะไปฝืนสิ่งนั้นได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน เขาเรียกผลบุญผลกรรมที่มันซัดเราไปนี่ มันซัดเราไปมาไปตามวัฏฏะนี่ หมุนไปตามวัฏฏะ หมุนไปในกามภพ รูปภพ อรูปภพ หมุนไปในวัฏฏะ หมุนไปในการเกิดการตายเห็นไหม ผลบุญผลกรรมไง เราถึงต้องมาสร้างสติ สร้างสติของเรา ทำปัญญาของเรา เพื่อจะให้สวะนั้นไม่ไหลตามแต่วัฏฏะนั้นไป เห็นไหม เราพยายามหาที่พักให้ได้ หาที่พักผ่อนของเราให้ได้ หาที่แยกออกไปให้ได้ไง

ตายที่ว่า ใครเป็นคนพาแยก ถ้าไม่มีพุทธศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้ามาบรรลุธรรมขึ้นมานี่ ธรรมนี้เกิดมาจากไหน ธรรมนี้เกิดมาจากไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านบรรลุธรรมขึ้นมานะ โอ้โฮ.. ธรรมนี้มาจากไหน ! ธรรมนี้มาจากไหน ! มันมาจากไหนล่ะ ถ้าวิทยาศาสตร์นะ ก็มาจากตู้พระไตรปิฎกไง พุทธพจน์ พุทธพจน์ ห้ามเถียงพุทธพจน์

พุทธพจน์ พวกเราเคารพบูชานะ ใครนะถ้าไม่เคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนนั้นเป็นคนอกตัญญู เรานี่เราเกิดเป็นพระ เราเป็นชาวพุทธกัน เราไม่เคารพพระพุทธเจ้า มันจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร เราเคารพบูชามาก แต่เคารพบูชาที่ว่าสมบัติที่อยู่ในพระไตรปิฎก สมบัติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าค้นคว้ารื้อค้นมา สมบัติของเราไม่มีไง เราไม่มีนะ

นี่เห็นไหม พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราโอ้โฮ..มั่งมีศรีสุขเลย เรามันคนโอ้โฮ..เศษเดนเลยนะ มาทำลายเขาอย่างเดียว เป็นไปได้อย่างไร เราก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา เพื่อให้เราก็มีสมบัติของเราใช่ไหม สมบัติของเราคืออะไร สมบัติของเรานี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา

เราจะเข้าปฏิบัติ ในการปฏิบัติ ปฏิบัติเห็นไหม คนเรามีกายกับใจ เรามีกายกับใจ ร่างกายก็จับต้องได้ ร่างกายถ้าไม่มีหัวใจนะ เราเปรียบบ่อยว่าร่างกายเรานี่เหมือนหม้อพะโล้หม้อหนึ่ง หม้อพะโล้หม้อหนึ่งนะ พอมันได้เป็นพะโล้มาตั้งไว้ มันก็บูดมันก็เน่า แต่หม้อพะโล้นี่ตั้งบนไฟนะ แล้วอุ่นมันตลอดเวลา หม้อพะโล้นั้นจะอยู่ได้ไกลนะ

ชีวิตนี้ ร่างกายนี่มันมีพลังงาน พลังงานคือธาตุไฟ ธาตุไฟนี่คือจิต ตัวจิตตัวพลังงานตัวเผาผลาญอยู่ มันทำให้เรานี่ไม่ตาย มันทำให้สิ่งมีชีวิตนี่มันหมุนเวียนตลอดเวลา สิ่งมีชีวิตในร่างกายเรา มันได้พลังงานอันนี้หล่อเลี้ยงมัน มันถึงมีเซลล์มีร่างกาย มันจะดำรงชีวิตของมันไปเห็นไหม นี่ธรรมชาติของมันเพราะอะไร เพราะมีจิต จิตคือพลังงานตัวนั้น ถ้าจิตนี้ออกจากร่างนะ หม้อพะโล้เอามาตั้งไว้บนที่ไม่ใช่บนเตานะ นับวันจะบูดไป เน่าไป จิตนี้ออกจากร่างไป หม้อพะโล้ที่ไม่ได้ไฟอบอุ่นอยู่นี้มันจะเน่าจะทำลายของมันไป

นี้โดยธรรมชาติไง แต่พระพุทธเจ้าฉลาดกว่านั้น ฉลาดกว่านั้นเพราะอะไร สิ่งนี้โดยธรรมชาติที่เรารู้กันโดยวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าบอกให้เอาจิตเรา ให้เอาจิตเรา ให้เอาความรู้สึกของเรา ค้นคว้าในตัวของเราเดี๋ยวนั้น สิ่งที่มันหม้อพะโล้นี้จะบูดจะเน่าไป เพราะว่ามันไม่มีพลังงานอบอุ่นมัน ไม่มีการอุ่นมันเห็นไหม ตัวจิตวิญญาณที่มารื้อค้นมันเดี๋ยวนั้น เพราะปฏิสนธิจิต เพราะปฏิสนธิจิตตัวนี้ มันมาเกิดในไข่ มันถึงเกิดเป็นเรา เพราะปัญญาตัวนี้ มันจะเข้าไปรื้อค้นตัวจิตตัวนี้ ปัญญาของจิตตัวนี้ มันจะเข้าไปรื้อค้นจิตตัวนี้

ไอ้อวิชชา ไอ้ความโง่เขลาของจิตดวงนี้ที่มันมืดบอด ที่มันจะต้องไปปฏิสนธิในไข่ต่อๆ ไป ในไข่ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ มันไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะ ไปเกิดในโอปปาติกะ เกิดแล้วโตเลย เกิดเป็นเทวดานะ รูปร่างใครมีบุญสูงขนาดไหน เกิดมาก็เป็นเทวดาเลย เทวดาไม่มีเด็ก ในภพของเทวดาไม่มีเด็ก มีแต่เทวดา เทวดามีรูปร่างโอปปาติกะ คือรูปอย่างนั้นเลย แล้วเวลาแก่ชรา ชราภาพไปนี่ แสงพลังงานมันจะอ่อนลงอ่อนลง แล้วก็หมดอายุขัยไป

นี่ไง มันจะไปเกิดที่ไหน ปฏิสนธิจิตไง เพราะมันมีแรงขับของมันใช่ไหม แต่เพราะเราเกิดมาพบพุทธศาสนา ธรรมะโอสถ ธรรมะโอสถให้เรารื้อค้นไง เราถึงจะเริ่มภาวนาเห็นไหม การภาวนานี่ เราเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอนะ หมอเขาจะให้ยา เขาจะฉีดยา ให้ยาเข้าไปในร่างกายของเรา เพื่อให้สารเคมีนั้นเข้าไปแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บของเรา

ในมรรคญาณ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอริยสัจ ปัญญา ความรู้สึก จิตแก้จิต เอาจิตแก้จิต เอาความคิดแก้ความคิด เอาพลังงานเข้าไปรื้อค้นพลังงาน ถ้าไม่เอาพลังงานตัวนี้เข้าไปรื้อค้นพลังงานของเรา พลังงานตัวนี้ ไอ้ปฏิสนธิจิตนี่ มันไม่มีวันสะอาดบริสุทธิ์ได้ เห็นไหม เราถึงจะเริ่มมาหัดภาวนากัน ถ้าเราไม่หัดภาวนานะ ในโลกนี้เรามีเงินมีทอง เราไหว้วานซื้อขายแลกเปลี่ยนได้หมดเลย บุญกุศลไม่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทุกคนต้องทำเอา ปัญญาของคน คนจะปฏิบัติขึ้นมาต้องทำเอา ต้องทำเอาเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการเอาพ่อเห็นไหม ไปเทศนาว่าการพระเจ้าสุทโธทนะน่ะ นี่เอาจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเห็นไหม นี่ก็ต้องทำเอา ชี้แนะเป็นคนบอกเท่านั้น เหมือนเราฝึกเด็กของเราทำอาหาร เราจะบอกว่าเอ็งทำเป็น เราทำให้เขาดูแล้วให้มันเป็น ไม่ได้ ต้องให้มันฝึก ให้มันทำขึ้นมา อาหารมันจะทำเป็นขึ้นมา มันต้องฝึกของมัน

จิตก็เหมือนกัน จิตของคน สมาธิคือสมาธิ สติเป็นสติ ปัญญาเป็นปัญญา แต่มันเกิดขึ้นมาจากจิตเราหรือเปล่า นี่ชื่อของมันเป็นชื่อของมันนะ ทางโลกนี่มันช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ แต่ในการปฏิบัติทุกคนต้องขึ้นมาเอง พอขึ้นมาเอง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ตั้งสติ สติเกิดจากไหน สติไม่ใช่จิตแต่มันเกิดจากจิต สมาธิก็เกิดจากจิตไม่ใช่จิต แต่มันอยู่กับจิต ทีนี้พอมันไม่ใช่จิตปั๊บ มันแยกเป็นคนละตัวหรือเปล่า

ถ้าพูดทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม สติเป็นสติ สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา ไม่ได้เกี่ยวกัน แต่ ! แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป มรรคสามัคคี มรรครวมตัวนี่เห็นไหม ทำไมมันมรรครวมตัวล่ะ แต่ขณะที่ว่ามรรค ๘ นี่ บางคนสติดีมาก มันเด่นในทางสติ บางคนสมาธิดีมาก เด่นทางสมาธิ บางคนปัญญาดีมาก เด่นทางปัญญา เด่นไง “ลักษณะเด่น” ลักษณะเด่นของจิต

เวลาปฏิบัติไปลักษณะเด่นนั้นมันเป็นตัวนำ ถ้าตัวนำ แต่ว่าเวลาปฏิบัติไปแล้ว สิ่งต่างๆ ที่เป็นลักษณะเด่น มันก็มีพร้อมของมันใช่ไหม ลักษณะเด่นขนาดไหนมันก็ต้องสงบตัว มันต้องมีพลังงานของมันเห็นไหม มันก็ศีล สมาธิ ปัญญานี่มันเข้ามา แต่ลักษณะเด่นนี่มันเป็นของแต่ละบุคคล

ฉะนั้นบอกเวลาประพฤติปฏิบัติ ไปอยู่กับอาจารย์องค์ไหนก็แล้วแต่ ท่านปฏิบัติอย่างไรมา ท่านมีความชำนาญอย่างไรมา ท่านก็เอาลักษณะเด่นนั้นเป็นตัวนำ เป็นตัวนำนะ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันต้องพร้อม มันขาดไปไม่ได้ มรรค ๘ ขาดไม่ได้ หน่วยกิตของการศึกษา เราไม่ส่งหน่วยกิตนี่ผ่านไม่ได้หรอก ถ้ามันจะจบมันต้องครบทุกหน่วยกิต แล้วหน่วยกิตไหนนะ คะแนนมากคะแนนน้อย แต่ละหน่วยกิตนี่อีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม แต่ต้องครบต้องผ่านหมด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไป เวลาจิตมันหมุนของมันไปเห็นไหม นี่จิตมันหมุนของมันไป มันต้องรวมตัวของมัน มันต้องมรรคสามัคคี ไอ้นั่นเป็นเวลามันสรุปใช่ไหม แต่เวลาเริ่มต้นนี่ ต่างคนต่างงง ต่างคนต่างงงนะ เราเริ่มต้น

จิตนี่มันเป็นนามธรรม มันเหมือนน้ำ น้ำอยู่ในแก้ว ถ้าน้ำสะอาดเห็นไหม ขวดเปล่าก็ได้ ขวดมีน้ำก็ได้ เราไม่เข้าใจ แล้วขวดนั้นมีน้ำหรือเปล่า เพราะเราไม่เห็นสภาพของมัน แต่ถ้ามันเจือด้วยสี เจือด้วยสิ่งต่างๆ เราจะเห็นเลยว่า อ้อในนั้นมีน้ำสี นี่ก็เหมือนกัน เราตั้งสติของเราเห็นไหม นามธรรมเห็นไหม จิตเป็นนามธรรม นามธรรมนี่แต่เราเอาสติเข้าไป สตินี่เรานึกระลึกอยู่ตลอดเวลา ระลึกอยู่ตลอดเวลา พุทโธก็ได้ ลมหายใจเข้าออกก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้

คำว่าปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม ใช้ความคิด ใช้ความคิดเพราะความคิดมันมีอยู่แล้ว มันได้ คำว่าได้ ได้ต้องมีสติหมด แล้วสตินี่ตามไป สติต้องฝึกก่อน หลวงตาพูดประจำ ถ้าการทำงานสิ่งใด ถ้าขาดสติ สักแต่ว่าทำ ไม่ถือว่าเป็นงานเลย เวลาเดินจงกรม หลวงตาท่านเหน็บบ่อย ว่าเดินจงกรม เอ็งเดินจงกรมนะหมามันก็วิ่งได้ ท่านพูดบ่อย หมามันมี ๔ ขานะเว้ย เรามี ๒ ขา เดินสู้หมาไม่ได้หรอก หมาแม่งมี ๔ ขามันเดินดีกว่าเราอีก

นี่เพราะถ้าไม่มีสติเห็นไหม คำว่าสติสำคัญมาก นั้นสตินี่ อย่างที่ว่า “ลักษณะเด่น” ถ้าคนสติดีเห็นไหม ทำมันจะเป็นสิ่งที่ดี ถ้าคนสติอ่อน มันเหมือนเรานี่ เด็กๆ นี่สังเกตเด็กๆ ได้ เด็กๆ สมาธิสั้นสมาธิยาวนี่ เด็กบางคนเขาควบคุมตัวเองได้ เด็กบางคนนี่มีเชาว์ปัญญาดี เด็กบางคนนี่มันเก เด็กบางคนนี่ เห็นไหมลักษณะของเด็ก นี่ลักษณะนิสัยของมัน นี่มันโดยการไร้เดียงสา มันแสดงออกโดยธรรมชาติของมัน

แต่ของเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราก็มีมารยาทสังคมมีต่างๆ เราก็ปกครองดูแลมันไว้ เพราะสิ่งแสดงออกมันเป็นสิ่งที่ว่า มันเสียมารยาท นี่แต่มันก็มีความจริงของมันนะ มีความจริงของมัน นี่เราต้องการตรงนี้ นี่เพราะมารยาสาไถ มายาภาพ สิ่งต่างๆ นี่โลกนี้โลกสมมุติ โลกมายาหมดเลย มันเป็นของชั่วคราว มันมีจริงของมันทั้งนั้นล่ะ มายาก็มี ทุกอย่างมีหมดนะ มารก็มี ทุกอย่างมีทั้งนั้นล่ะ แต่มันมีแล้วนี่มันให้ผลเป็นอย่างไร มันจริงหรือไม่จริง แล้วเราจะสู้กับมันอย่างไรเห็นไหม

นี่พูดถึงผู้ปฏิบัติใหม่ ถ้าผู้ปฏิบัติใหม่ เราทำความเข้าใจอย่างนี้ปั๊บ พอเราทำความเข้าใจของรูปกับนาม ของจิตกับของร่างกาย เห็นไหม จิตมันเป็นนามธรรม แต่จับต้องได้ แต่เพราะเราเข้าใจว่าจิตนี้เป็นนามธรรม นามธรรมคืออากาศไง อากาศเขาก็ยังอัดออกซิเจนได้นะ อากาศเขาพิสูจน์ได้ ค่าของอากาศสะอาดบริสุทธิ์ เขาพิสูจน์ได้หมดแหละ

นามธรรมก็พิสูจน์ได้ ถ้าเราจะพิสูจน์ แต่เพราะความมักง่าย พอบอกเป็นนามธรรมปั๊บ ก็เอานามธรรมไปจับมันไง ก็เอาความคาดหมาย เอาความคาดหมาย เอาการสร้างภาพ เอานามธรรมไปจับนามธรรมนี่ ไม่มีทางได้เลย แต่เอาสติปัญญาเข้าไปจับมัน เอาสติปัญญานะ ตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธก็ได้ ลมหายใจอานาปานสติก็ได้ กำหนดพุทโธโดยเฉพาะก็ได้

เพราะ ! เพราะสิ่งที่เรากำหนด คำว่ากำหนดวิตก วิจาร วิตกเกิดจากจิต สติเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิต แต่ ! แต่การเกิดจากจิตโดยสามัญสำนึก เกิดจากจิตโดยกิเลส เกิดจากจิตโดยสายพานการผลิต สายพานการผลิตมันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน ความคิดโดยปกติของเรานี่ มันก็เป็นธรรมชาติของมัน ความคิดมันเกิดโดยธรรมชาตินะ โมโหโกรธานี่มันเกิดเองดับเองนะ ไม่มีหรอกมันมาเองหมด

นี่ไง ถ้าเราใช้สามัญสำนึกที่ว่ามันเป็นสัจธรรมอยู่แล้วนี่ เราคิดอย่างนี้นะ เราจะไม่ได้อะไรเลย มันมีแต่ใช้จ่ายใช้จ่าย มีแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ไม่มีการแสวงหา ไม่มีการหาเงินหาทองมาเป็นต้นทุนของเรา ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ห้ามชิงสุกก่อนห่าม มันต้องมีก่อนถึงใช้จ่าย เรามีเงินมีทอง มีเป็นประโยชน์ของเราแล้ว เราค่อยทำประโยชน์ของเราขึ้นมา แต่ที่เรามีกันอยู่นี่ เรามีโดยสถานะของมนุษย์ไง

เรามีความคิด เรามีสติปัญญานี่โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ไง แล้วเราว่าสิ่งที่เป็นสามัญสำนึกนี่ คือสิ่งที่มีอยู่แล้ว สติก็เป็นอย่างนี้ไง มันเป็นสามัญสำนึกของปุถุชน แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะต้องการสติมากกว่านี้ ต้องการสมาธิที่ดีกว่านี้ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยนะ เขามีสมาธิดีกว่าเราอีก ไปดูนักวิจัยสิ มันนั่งวิจัยของมันนะ มันเพ่งของมันนะ มันตั้งสติของมันนะ โอ้โฮ..มันทำของมัน มันก็มีสมาธิ แต่สมาธิของการวิจัยไง สมาธิของโลกไง สมาธิของวิชาชีพไง มันไม่ใช่สมาธิของมรรคญาณนี่

ทีนี้เราจะทำอย่างนั้น เราถึงต้องตั้งสติของเราขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา แล้วทำความสงบของใจขึ้นมา พอมันสงบขึ้นมาจิตสงบนะ จิตสงบ จิตสงบเห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน สมาธิที่โลกเขามีนั่น ทุกคนมีสมาธิโดยปกติ ถ้าทุกคนไม่มีสมาธิ ทุกคนเป็นคนบ้าหมดแล้ว ทุกคนนี่มีสมาธิอยู่แล้ว แต่ ! แต่เป็นสมาธิของโลกๆ เป็นสมาธิของปุถุชน

ในสมาธินี่ พวกนักวิทยาศาสตร์ พวกทางวิชาการเขามีสมาธิดีกว่าเรา เพราะเขาฝึกของเขา กระบวนการความคิด ระบบความคิด เขาจัดให้เป็นระบบหมดเลย เพราะอะไร เพราะความคิดเขาจะดีกว่าเรา พวกเรานี่ถ้าคนการศึกษาต่ำ คนการศึกษาไม่ค่อยมีนี่ ระบบความคิดมันเป็นโดยอำนาจวาสนาบารมีของคนก็มี แต่โดยธรรมชาตินี่ ระบบความคิดมันไม่ได้ฝึกมา ไม่ได้จัดเรียงระบบ เหมือนสมองนี่ ลิ้นชักสมองนี่มันเปิดได้ทุกๆ ระบบเห็นไหม

นี่พูดถึงผู้ที่มีการศึกษามากๆ ระบบสมองระบบความคิดของเขานี่มันจะควบคุมได้ดีกว่า แต่ได้ดีกว่ามันก็เป็นโลก เรียกว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เพราะภาวนามยปัญญานี่มันไม่ได้เกี่ยวกับสมองแล้ว ไม่เกี่ยวกับลิ้นชักเลย มันเกี่ยวกับจิต เวลาจิตมันเกิดเห็นไหม เวลาจิตมันปัจจุบัน ความคิดนี่ ความคิดมาจากไหน

สิ่งที่ว่าความคิดเร็วมาก จิตนี้เร็วมาก จิตนี้เร็วมากมันเกิดบนอะไร มันเกิดบนภพ เห็นไหม มันเหมือนกับเราสปาร์คไฟ สิ่งที่เราสปาร์คมันขึ้นมา ไฟมันมาจากไหน ดูสิความเร็วของแสงเห็นไหม นี่ของแสงกับของเสียง ฟ้าผ่าฟ้าแลบไง นี่มันมาก่อนนะ แสงมาก่อน เสียงตามมาทีหลัง

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันเกิดมันเกิดจากไหน เราจะบอกว่า แม้แต่ความคิดปกติเรา มันก็เป็นอดีตอนาคตแล้ว ถ้ามันเป็นสมาธิอยู่ มันเป็นปัจจุบันของมันอยู่ มันต้องละเอียดขนาดนั้น แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา มันจะเข้าไปชำระกิเลสอย่างไร นี่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถึงบอกว่าเริ่มต้นปฏิบัติต้องตั้งสตินะ ตั้งสติของเรา แล้วกำหนดให้ใจสงบเข้ามาก่อน ถ้าใจไม่สงบ ความคิดข้างนอกเป็นความคิดเปลือก

ความคิดเปลือกนี่เป็นเปลือกส้ม แต่ตัวจิตเป็นเนื้อส้ม โดยปกติของเรา ความคิดนี่ ความคิดโดยสามัญสำนึกนี่เป็นเปลือก เป็นขันธ์ ๕ เปลือกส้มกับเนื้อส้ม โดยสามัญสำนึก ทุกคนมีความคิดโดยสามัญสำนึก ความคิดนี่มีโดยธรรมชาติ สัญญานี่ สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารความปรุงแต่งมีโดยธรรมชาติของมันตลอดเวลา ถ้าพูดถึงเวลาเราทำปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาใคร่ครวญความคิดเราไป จับความคิดมาเลย คิดเรื่องรถ คิดเรื่องสัตว์ คิดเรื่องมนุษย์ คิดเรื่องอะไรต่างๆ นี่ จับความคิดนั้นมาตั้ง

ในรถประกอบด้วยสิ่งใด ในมนุษย์ มนุษย์เกิดมาจากไหน ในสัตว์ สัตว์เกิดมาได้อย่างไร เห็นไหม มันจะไล่ของมันไป พอไล่ของมันไป เพราะความคิดมันเกิดขึ้นมา เกิดจากความสงสัย พอไล่ไปแล้ว พอไล่ถึงมนุษย์ มนุษย์ก็เกิดมาจากกรรม ทางวิทยาศาสตร์เขาว่ามนุษย์เกิดจากท้องแม่ มนุษย์เกิดมาจากกรรม ถ้ามันไล่ใคร่ครวญมันจบปั๊บ อ้อ.. มนุษย์มีที่มาที่ไป ความลังเลสงสัยนี้ในจิตมันไม่มี ความคิดนี้มันจะไม่เกิดอีก

นี่ไงเราไล่ความคิดไปจนขันธ์ ๕ นี่ จนเปลือก เราไล่ความคิดจนความคิดนี่มันปล่อยวางหมด เห็นไหม พอมันปอกเปลือกของส้มหมดแล้ว มันจะเหลืออะไร มันเหลือเนื้อส้ม ความคิดที่มันสงสัยของจิตนี่ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปตลอดเวลานี่ มันไล่ความคิดไปตลอดเวลา จนความคิดมันปล่อยวางหมดแล้ว มันจะเหลืออะไร มันเหลือพลังงานเฉยๆ ไง มันเหลือพลังงาน มันเหลือตัวความรู้สึกเฉยๆ ตัวนี้ตัวจิต

ความเกิดขึ้นอันนี้ เราบอกว่านี่ที่มันเป็นสามัญสำนึกเห็นไหม ที่เราว่ามันเป็นสามัญสำนึก เป็นความคิดธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ ปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะไล่เข้าไป ไล่เข้าไป จนมันปล่อยหมด ปล่อยหมดเลยเหลือพลังงานเฉยๆ พลังงานตัวนี้ถ้ามีสติคุมอยู่เห็นไหม นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ตัวภพ ตัวที่เก็บข้อมูล ตัวเก็บข้อมูลในไหน

ธรรมดานี่ สัญญาของเรา ข้อมูลคือความจำของเราตามปกติของเราใช่ไหม แต่ในอดีตชาติ ในชาติต่างๆ อย่างเช่นปัจจุบันนี้เราเกิดมานี่ ในชีวิตนี้เราทำอะไรไว้บ้าง กรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีและกรรมชั่วนี่ใครเป็นคนคิด เจตนาให้ทำ คือจิตมันคิดเจตนาให้ทำ ทำเสร็จแล้วมันไปไหน ทำเสร็จแล้วไปไหน

ทำเสร็จแล้ว คนการกระทำ มโนกรรมเกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นตอบสนอง มันก็ต้องกลับไปอยู่ที่มโนกรรมนั้น กรรมดีกรรมชั่วไปตอบอยู่ที่มโนกรรมนั้น นี่เราจำได้ตั้งแต่เด็ก ใครทำอะไร ชีวิตตั้งแต่เด็กทำสิ่งใดไว้จำได้หมดเลย แต่เวลาตายไปแล้วนี่ มันจะจำสิ่งนี้ได้ไหม มันจำสิ่งนี้ไม่ได้ นี่สัญญาเปลือกไง

เราจะบอกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สามัญสำนึกนี่มันมี รูป เวทนา สัญญา สัญญาคือข้อมูล สัญญาคือความจำ สังขารคือความคิด วิญญาณคือความเป็นวิญญาณรับรู้ ในขันธ์ ๕ นี่ นี่มันจำได้ชาตินี้ไง แต่ชาตินี้นี่สัญญาอันหยาบ พอมันมีกระแสเข้าไปถึงตัวจิต ข้อมูลต่างๆ กรรมดีกรรมชั่วมันสะสมอยู่ที่จิตหมด

นี้สะสมอยู่ที่จิตหมด เวลาตายไป เห็นไหม เวลาคนตาย ตายไปจิตนี้ออกจากร่าง จิตนี้ออกไป ไปเกิดภพใหม่ มันได้สถานะใหม่ สถานะใหม่มันจำอดีตไม่ได้ มันจำอดีตไม่ได้ จำอดีตไม่ได้แต่ในชาติที่เกิดใหม่ มันก็สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นชาติปัจจุบันนั้น

นี้เราแก้ไขโดยปัญญาของเราเห็นไหม นี่พอจิตมันสงบ ที่ว่าปัญญาอบรมสมาธินี่ พอมันอบรมสมาธิเข้าไปถึงตัวจิต ไปถึงตัวจิตเห็นไหม ไปถึงตัวจิต พอจิตมันปล่อยหมด มันปล่อยขันธ์หมดใช่ไหม มันปล่อยสิ่งที่สงสัยว่าเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ต่างๆ มันปล่อยหมด มันก็กลับมาอยู่ที่ภพอยู่ที่จิต อยู่ที่มันเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ไง ที่มันเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ มันอยู่ที่นี่เห็นไหม

เวลาถ้าจิตสงบเข้าไปนี่ถึงบอก บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติได้ ระลึกต่างๆ นี่ มันระลึกจากจิตของมันนี่แหละ ระลึกถึงจิตของตัวเองนี่แหละ จิตของตัวเองนี่มันเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว มันเกิดมันตายมาซับซ้อนอยู่มหาศาลเลย

ฉะนั้นเวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้วนี่ เวลามีธรรมจิตมันสงบใช่ไหม มันเป็นธรรมใช่ไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดสภาวธรรม เกิดสภาวะที่จิตมันเป็นเอกภาพ จิตมันเป็นธรรมชาติของมัน พอจิตเป็นธรรมชาติของมัน มันจะออกรู้ ถ้าเป็นอุปจารสมาธิมันออกรู้ นี่จิตสมาธิมันออกรู้ ออกรู้ในอะไร ออกรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ออกรู้เห็นไหม เพราะจิตตัวนี้ไม่ใช่ความคิดสามัญสำนึก ถ้าสามัญสำนึกคือสร้างภาพไง

นี่พิจารณาเห็นกายนะ อู้ฮู เห็นกาย ไปเที่ยวป่าช้า ป่าช้ามันก็นอนศพอยู่นั่นไง ก็กูก็ดูเฉยๆ นี่ไง มันเป็นเปลือกดูเห็นไหม มันเป็นสามัญสำนึก มันไม่สะเทือนถึงกิเลส แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันเป็นข้อมูลเดิม ข้อมูลเก่า แล้วข้อมูลเก่านี่มันเป็นสัจธรรม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณนี่มันเป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา แต่พวกเรานี่มันเส้นผมบังภูเขา

ในปัจจุบันนี้เอาความคิดสามัญสำนึก เอาความคิดของเรานี่ แล้วไปตรรกะ คิดว่าสิ่งนี้เป็นสัจธรรม มันเลยเข้าไม่ถึงสะเทือนถึงกิเลส มันถึงไม่มีการชำระกิเลส แล้วพูดถึงกิเลสผิด พูดถึงอริยสัจผิด พูดถึงสิ่งต่างๆ ผิด แต่ไปพูดพุทธพจน์ถูกนะ เพราะพุทธพจน์นี่มันเป็นตำรา มันเขียนไว้สำเร็จรูปแล้ว ไปเอาสิ่งที่สำเร็จรูปนี่มาอธิบายกัน แต่ข้อมูลความจริง ความรู้สึกจากจิตที่เป็นความจริงนี่ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่รู้จริงนี่ไม่เกิด พอไม่เกิดนี่การกระทำมันถึงคลาดเคลื่อน ผิดพลาดตลอดไป

ฉะนั้น ถ้าสังคมเขาเป็นอย่างนั้น เราไม่ต้องการให้เป็นสังคมอย่างนั้น เราต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา เพื่อจะเอาจิตเข้ามาถึงข้อมูลเดิม ข้อมูลเดิมคือตัวจิตนี้ แล้วออกไปวิปัสสนา ถ้าออกไปวิปัสสนามันจะเป็นสร้างผลบุญของเรานะ ผลบุญของเราคือว่า จากปุถุชนจะเป็นกัลยาณปุถุชน จะเป็นของจริงขึ้นมา จะเป็นสัจธรรมของเราขึ้นมา นี่พูดถึงการปฏิบัติเริ่มต้น

การปฏิบัติใหม่นะ กระบวนการของมัน ที่มันทำมา มันจะเป็นออกมาอย่างนี้ แต่ถ้าเราทำของเราโดยความเป็นจริง เราอย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าซื้อก่อนขาย เมื่อก่อนหลวงตาจะเน้นตรงนี้มาก ชิงสุกก่อนห่าม ซื้อก่อนขายอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราหวังผลคาดผล แล้วเราพยายามจะทำให้ได้อย่างนั้น มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริงเรานี่ มันรู้ของเรา

เพราะว่าในพระไตรปิฎกนี่นะ เวลามันให้ผลพระพุทธเจ้าบอกไว้เลย เวลากิเลสขาดนี่เหมือนดั่งแขนขาด เราเอามีดนี่ตัดแขนเราขาด เราจะต้องชัดเจนมากนะ เวลากิเลสขาดนี่ดั่งแขนขาดเลย อย่างเช่นเราแขนขาดขาขาด กิเลสขาดออกจากจิต มันจะมีสภาพอย่างนั้นเลย นี้พระพุทธเจ้ายกเป็นบุคลาธิษฐานไว้ ถ้าเวลากิเลสขาด ดั่งแขนขาดเลย มันสมุจเฉทปหานขาดไปแล้วนะ ไม่ต้องมีใครบอกเลย

เห็นไหมเวลาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดเลย แม้แต่อยู่หน้าพระพุทธเจ้า สาธุ!กราบพระพุทธเจ้าอยู่นะ กราบอยู่ แต่ความจริงในหัวใจมันสำคัญมาก ไม่ถาม ไม่ ไม่ ไม่ เพราะมันรู้จริงของมันจากภายใน นี่พูดถึงถ้าเวลาปฏิบัติ ถ้าเราจะเอาความจริงอย่างนี้ เราถึงอย่าซื้อก่อนขาย อย่าให้มันชิงสุกก่อนห่ามไง เราถึงต้องพยายามทำความสงบของใจ จะพุทโธ จะปัญญาอบรมสมาธิ จะอานาปานสติ จะสิ่งใดก็แล้วแต่ เพราะมันเกิดจากจิต เพราะตัวจิตเป็นตัวกำหนดโดยธรรม

แต่ในที่เรากำหนดที่เราดูกันนี่ เราดูโดยสามัญสำนึกนี่ มันไม่ต้องกำหนด เพราะความคิดมันมีอยู่แล้ว ความรู้สึกของคนมีอยู่แล้ว แล้วไหลไปตามนั้น เขาเรียกไปตามกระแสไง ไปตามโลกไง โลกกับธรรม ไปตามปกติไปตามธรรมชาติของจิตมันไหลไปอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าบอกให้ทวนกระแส ถ้าไหลไปอย่างนี้ มันก็เหมือนเรานี่ นิสัยใครเคยทำอย่างไร ทำซ้ำทำซาก นิสัยนั้นจะแก้ไขไม่ได้

นิสัยใครเป็นอย่างไร อยากจะเปลี่ยนนิสัยต้องฝืนมัน ต้องฝืนนิสัยตัวเอง มันอยากทำอย่างนี้ ไม่ทำ จะทำอย่างอื่น มันเคยเป็นอย่างนี้ ไม่เป็น จะทำอย่างอื่น เห็นไหม เราจะต้องมีการทวนกระแส เราต้องมีการเปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตลอด นี่ทวนกระแสเข้าไป

นี่พอทวนกระแสเข้าไปนะ ใครเป็นคนทวนล่ะ การทำไปตามกระแสนี่นะ ไปตามความเคยชิน ทุกคนก็สะดวกสบาย ทำได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นนิสัยไง มันเป็นนิสัย นกมันบินได้ ไส้เดือนมันอยู่ในดิน

นิสัยของจิต ถ้ามันเคยทำปกติของมัน มันจะเป็นอย่างนั้นล่ะ มันเหมือนไส้เดือน มันอยู่ในดินนี่มันพอใจของมัน มันไม่เปลี่ยนแปลงเลย อ้าวก็กูดีแล้ว ก็กูสบายไง พระพุทธเจ้าบอกว่างๆ กูก็ว่างๆ ไง ดินอร่อยนะ ไปอยู่ที่อื่นมันไม่มีอาหารนะ อยู่ในดินนี่ไส้เดือน มันไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ได้อะไรเห็นไหม

เราก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติเราต้องตั้งของเรานะ ตั้งสติของเรา จะทุกข์ไหม ทุกข์ คนทำงานทุกข์ทั้งนั้นล่ะ ดูสิเวลาเขาแกะสลักน้ำแข็งเห็นไหม เขาต้องใช้สกัด เห็นไหม ดูสิเขาก่อเจดีย์ทรายเห็นไหม เวลาเขาก่อเจดีย์ มันทุกข์ไหม ขึ้นชื่อว่างาน งานทางโลกนะ การทำงานนะงานเพื่อผลประโยชน์ มันก็ต้องลงทุนลงแรงอยู่แล้ว ไอ้นี่งานชำระภพชำระชาติ มันต้องลงทุนลงแรงมากกว่าสองเท่า

เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ มันมีสติ มหาสติ มันมีปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่ว่าเป็นโลกุตตรปัญญาอยู่แล้วนี่ เวลามันละเอียดเข้าไปนะ มันลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะ ในการปฏิบัติทุกคน เวลาปฏิบัติเข้าไป พอปัญญามันไล่จิตทัน จิตนี่มันเร็วมาก มันเหมือนแสงเลย แล้วพอสติมันทันนะ เอ้อะ อู้ฮู มันละเอียดมากนะ อู้ฮู ปัญญามันยอดมากนะ ยัง ! ยังหรอก ไอ้นี่มันแค่จุดสตาร์ท มึงยังไม่ได้ออกตัวเลย มึงออกตัวไปมึงจะรู้ว่ามันเร็วขนาดไหน

เพราะอย่างนั้นพอออกไปแล้วมันถึงมีสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ มันมีปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่ครอบคลุม ครอบคลุมละเอียดลึกซึ้งเข้าไปแยกแยะ นี่เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงทอดธุระไง จะสอนได้อย่างไร เวลาบอกปัญญา ทุกคนก็บอก อู้ฮู ปัญญาเหรอ ดูสิใบประกาศกูเต็มเลยนี่ ด็อกเตอร์กู ๔-๕ ใบ ปัญญากูเยอะฉิบหายเลยนะ แต่โง่ดักดานเลย

พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการปัญญาอย่างนี้ ไม่ต้องการปัญญาอย่างนี้ ปัญญาของพระพุทธเจ้าคือทันความคิด ทันความรู้สึกเรา ทันความคิด ทันความทุกข์ความสุขในใจเรา หักห้ามมัน ยับยั้งมัน แล้วเอาชนะมัน ปัญญาอย่างนี้ต่างหากจะรื้อภพรื้อชาติ ไม่ใช่ปัญญาใบประกาศนียบัตรเอามาแขวนไว้โชว์กันนะ ไม่ใช่ปัญญาอย่างนั้น ปัญญาอย่างนั้นเป็นวิชาชีพ ปัญญาอย่างนั้นมันเรียนมาเพื่อตอบสนองทางโลก

แต่ถ้าปัญญาอย่างเรา โลกเขาจะบอกเลย ดูพระเราสิ อยู่ป่าอยู่เขา อยู่โคนไม้นั่น หลวงตาบอกเลยนี่เศษคน ท่านบอกเลย หลวงปู่มั่นนี่เหมือนเศษคน สิ่งที่เขาไม่ปรารถนานี่ เราไปอยู่ตรงนั้น สิ่งที่เขาไม่เอาเขาไม่พอใจแล้ว เราไปอยู่ตรงนั้น แต่สิ่งนี่เหมือนเศษคนเลย แต่มันเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เหมือนเศษคนนะ แต่หัวใจมันผ่องแผ้ว ไอ้พวกเรานี่โอ้โฮ.. เทวดาเลยนะ ไปไหนนี่มีพรมนั่งให้เป็นแถวเลยนะ แต่หัวใจห่มขี้ไง มีแต่ขี้ทุกข์อยู่ในหัวใจไง

นี่มันกลับกันนะ มันกลับกัน พระพุทธเจ้าถึงบอกจะสอนได้อย่างไร นั้นประสาเรานะ เราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน เราต้องมีอาชีพ อาชีพทางโลก อาชีพการเป็นอยู่นี่มันเรื่องธรรมดา หลวงตาบอกว่า เกิดมามีสองตา ตาหนึ่งตาโลก ตาหนึ่งทางธรรม อาชีพทางโลกเราต้องมี เราเกิดมาแล้วเราต้องดำรงชีวิต แต่เราจะทำอย่างไรเพื่อความดีของเรา เพราะเราเกิดมาในพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

นี่พูดถึงการภาวนานะ เราถามว่าจะภาวนาเบื้องต้นอย่างไร ภาวนาเบื้องต้นตั้งสติก่อน ที่เราอารัมภบทมาอย่างนี้ เราอารัมภบทมาทั้งหมดให้เห็นว่า ในเรื่องการภาวนา มันมีกายกับใจ แล้วกายกับใจความคิดของโลก ความคิดของโลกเขาคิดกันอย่างนั้น

เราถึงจะบอกว่า ถ้าความคิดของธรรม ถ้าธรรมเกิดขึ้นมา สิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องได้ สติก็รับรู้ว่าสติ สมาธิก็รับรู้ว่าสมาธิ ปัญญาก็รับรู้ว่าปัญญา เราเกิดสติสมาธิปัญญา เกิดกระบวนการที่มันขับเคลื่อนเป็นธรรมจักร มันขับเคลื่อนเป็นธรรมจักร มรรค ๘ มันจะหมุนของมันไป

นี่ธรรมจักร เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม ว่าจักรได้เคลื่อนแล้ว เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ แม้แต่งานยังต้องเป็นงานชอบเลย การทำงาน งานชอบกับไม่ชอบนี่มันหลุดออกไปจากธรรมจักรแล้ว งานชอบ งานในสมถะคืองานชอบในสมถะ งานชอบในวิปัสสนาคืองานชอบในการฆ่ากิเลส แล้วเราไปถึงนี่เราก็จะเอาวิปัสสนา วิปัสสนาเลย ก็เหมือนเรานี่ไม่มีตังค์สักสลึงเลย บอกกูมีเงินร้อยล้านพันล้าน จะซื้อนู้นซื้อนี่ ก็เงินกูไม่มีจะเอาอะไรไปซื้อ

พื้นฐานของจิตไม่มีเลย ความเป็นจริงของหัวใจกำลังไม่มีเลย นักกีฬานะไม่มีกำลังเลย เหมือนคนอ่อนแอ คนจะคลานไปแล้ว มันบอกว่ามันเป็นนักวิ่งระยะสั้น นักวิ่งร้อยเมตรไง มันบอกมันเป็นนักวิ่งร้อยเมตรนะ แต่เดินมันยังเดินไม่ได้เลย มันต้องคลานไปนั่นน่ะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร จิตของคนนี่มันจะทำงานของมัน มันต้องมีฐานของมัน มีกำลังของมัน มันมีการกระทำของมัน มันถึงจะเป็น เห็นไหม งานชอบ เพียรชอบ

ในมรรค ๘ มันบอกไว้ชัดๆ เลย ความเพียรชอบ หน้าที่การงานชอบ งานชอบ งานในถูกต้องไง ปัญญาชอบ สมาธิชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ความชอบธรรมของมัน แล้วฝึกฝนจนมรรค ๘ มรรค ๘ สามัคคีรวมกัน รวมลักษณะรวมกันแล้วสมุจเฉทปหาน กิเลสขาดอย่างไร

นี่เวลาปฏิบัติผลมันจะตอบอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติถูกต้อง เราถึงอย่าด่วนได้ ปัจจุบันนี้โลกเขาสอนกัน ให้ด่วนได้ อยากได้อยากดี อยากดีมันอยากอยู่แล้วนี่ แต่อยากดีจนไม่มีฐานเลยนี่ มันจะไม่ได้ดีอย่างที่เราคิดนะ เราถึงต้องยั้งคิดกัน แล้วทำประโยชน์กับเรา ตั้งสติให้ดี แล้วเพื่อประโยชน์การประพฤติปฏิบัติเนาะ เอวัง